วันพุธที่ 4 กรกฎาคม พ.ศ. 2555
วันอังคารที่ 3 กรกฎาคม พ.ศ. 2555
จุดเปลี่ยน
จุดเปลี่ยน
อมรรัตน์ อาญา
“หนังสือเป็นแหล่งสะสมความรู้และทุกสิ่งทุกอย่างที่มนุษย์สร้างได้มา ทำมา คิดมา แต่โบราณกาลจนทุกวันนี้
หนังสือจึงเป็นสิ่งสำคัญเป็นคล้ายๆธนาคารความรู้และเป็นออมสินเป็นสิ่งที่จะทำให้มนุษย์ก้าวหน้าโดยแท้”
ข้อความตอนหนึ่งของพระบรมราโชวาทในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวพระราชทานในโอกาสที่คณะสมาชิกห้องสมุดทั่วประเทศเข้าเฝ้าฯ
เมื่อวันที่ 25 พฤศจิกายน 2514
จากข้อความดังกล่าวข้างต้นเป็นที่ประจักษ์กันดีอยู่แล้วว่ามนุษย์ในสังคมเรามักยกย่องคนที่ฉลาดรอบรู้ว่าเป็น นักปราชญ์
จึงมิใช่เรื่องแปลกเลยที่ไม่ว่าใครต่อใครต่างก็อยากเป็นนักปราชญ์ด้วยกันทั้งสิ้น
การอ่านเป็นอีกวิธีหนึ่งที่จะช่วยเพิ่มพูนปัญญาให้มนุษย์เกิดความรู้และเมื่อมนุษย์เกิดความรู้แล้วก็จะนำเอาความรู้ดังกล่าวนั่นไปพัฒนาตนเอง สังคม และประเทศให้เกิดความเจริญก้าวหน้าต่อไป
แต่ก่อนที่เราจะอ่านให้ตัวเองเป็นนักปราชญ์นั้น
เราจะต้องทำความเข้าใจให้ท่องแท้ก่อนว่าการอ่านที่แท้จริงคืออะไร มันสำคัญยังไงต่อชีวิตมนุษย์ มันดีจริงไหม
คนที่อ่านเยอะแล้วมีความรู้มากจริงแค่ไหน
อ่านแล้วเกิดประโยชน์มากน้อยเพียงใด แล้วถ้าเลือกอ่านแล้วเราจะเป็นอย่างไร
ที่เราเข้าใจอยู่ถูกหรือผิดอย่างไร ในเรื่องความหมายของการอ่านนั้นมีคำนิยามมากมายที่ให้ไว้
เช่น
ตามพจนานุกรม
ฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ. ศ .
2542 ( 2546:1364 ) ให้ความหมายคำว่า
“อ่าน” ไว้ว่า ว่าตามตัวหนังสือ
ถ้าออกเสียงด้วยเรียกว่า
อ่านออกเสียง
ถ้าไม่ต้องออกเสียงด้วย เรียกว่า
อ่านในใจ สังเกตหรือพิจารณาเพื่อให้เข้าใจ
พันธุ์ทิพา
หลาบเลิศบุญ ( 2539:45 ) ให้ความหมายการอ่าน คือ
การแปลความหมายของตัวอักษรออกมาเป็นความคิด และนำความคิดไปใช้ให้เป็นประโยชน์
ดังนั่น หัวใจของการอ่านอยู่ที่เข้าใจความหมายของคำ
สุนันทา มั่นเศรษฐวิทย์ ( 2545:2 ) ให้ความหมายไว้ว่า
การอ่านเป็นลำดับขั้นที่เกี่ยวข้องกับการนำความเข้าใจความหมายของคำ กลุ่มคำ
ประโยค ข้อความ และเรื่องราวของสารที่ผู้อ่านสามารถบอกความหมายได้
จากข้อความข้างต้นดังกล่าว อาจสรุปได้ว่า การอ่านเป็นกระบวนการรับสาร
ซึ่งต้องใช้ความคิด สติ
ปัญญาและความสามารถของแต่ละบุคคลในการนำความเข้าใจความหมายของตัวอักษรเพื่อให้เกิดความเข้าใจตรงกันระหว่างผู้อ่านกับผู้เขียน เมื่อเรารู้ความหมายดังกล่าวแล้วมาย้อนดูซิว่าเราเข้าใจถูกต้องหรือไม่หรือต้องทำความเข้าซะใหม่
ปรับเปลี่ยนแนวคิดใหม่ให้ถูกต้องขึ้นแต่ถ้าดูคำนิยามดังกล่าวแล้วต้องยอมรับว่ามนุษย์ทุกคนมีความเกี่ยวข้องกับการอ่านมาตั้งแต่อายุน้อยๆหรือตั้งแต่เริ่มเข้าศึกษาและก็ยังเกี่ยวข้องจนถึงปัจจุบันและเกี่ยวข้องไปตลอดชีวิตด้วย แต่ปัจจุบันนี้ต้องยอมรับอย่างเลี่ยงไม่ได้ว่าสังคมเราพบปัญหาในเรื่องการอ่านเป็นอย่างมากคนอ่านหนังสือกันน้อยมาก
จากผลสำรวจของสำนักงานสถิติแห่งชาติพบว่าในปี พ.ศ. 2551 คนไทยอ่านหนังสือเพียงวันละ 39 นาทีเท่านั่น ถือว่าลดลงมากหากเทียบกับปี พ.ศ. 2548 ที่เฉลี่ยอยู่ที่ 51 นาที
ซึ่งถือได้ว่าเป็นสาเหตุที่ทำให้ประเทศของเราของเราพัฒนาไปอย่างล้าช้าก็ว่าได้
ดิฉันเป็นคนหนึ่งซึ่งต้องบอกตรง
ๆ ว่าเมื่อก่อนเป็นคนไม่ชอบหนังสือ เลยไม่อ่านหนังสือเลยและไม่คิดด้วยว่าจะอ่านด้วยซ้ำ
เพราะเคยอ่านแล้วไม่รู้เรื่อง
อ่านแล้วง่วง
อ่านไปแล้วก็จำไม่ได้
เพราะไม่เคยใส่ใจแม้กระทั้งสอบก็ยังไม่อ่านหนังสือ คิดว่าสอบได้เท่าไหร่ก็เอาแค่ไหน
ถึงอ่านไปก็ไม่รู้เรื่องยิ่งมีสื่ออื่นๆเข้ามาก็ยิ่งแล้วใหญ่ สนใจอย่างอื่นมากกว่าหนังสือหลายเท่าต้องเข้าใจว่าสื่อชนิดอื่นนั้นมีอิทธิพลมากกับการใช้ชีวิตของคนเราแต่เมื่อเวลาผ่านไปเรื่อย ๆเรียนในระดับชั้นที่สูงขึ้นมันจำเป็นต้องอ่านจึงจะรู้เรื่องได้เพราะเมื่อเราเข้ามาเรียนในระดับมหาวิทยาลัยไม่มีใครมาคอยย้ำคอยสอนอยู่ตลอดเวลาข้อสอบที่ออกมาส่วนใหญ่ที่เป็นอัตนัยซึ่งถ้าไม่อ่านก็ยิ่งแล้วใหญ่ทำสอบไม่ได้เลยดิฉันเลยต้องฝืนใจตัวเองหันมาอ่านหนังสือ
ตอนแรกๆอ่านไปหลับไปเริ่มไม่ไหวไม่อยากอ่านยิ่งพยายามอ่านยิ่งไม่อยากอ่าน
ยิ่งอ่านยิ่งเครียดไม่รู้จะทำยังไงเลยลองเอาอย่างเพื่อนของดิฉันบ้าง
คือที่บอกว่าเอาเพื่อนเป็นแบบอย่างก็เพราะว่าเพื่อนคนนี้ชอบอ่านหนังสือนิยายเป็นอย่างมากอ่านได้ตลอดเวลาเล่มหนึ่งอ่านแค่วันสองวันก็จบแล้วก็เลยถามเคล็ดลับการอ่านจากเพื่อนเพื่อนก็บอกว่าเราก็เริ่มจากเรื่องที่เราอยากอ่าน ค่อยๆอ่านไปเรื่อยๆ
เดี่ยวเราก็จะเป็นคนที่ชอบอ่านหนังสือเองแหละ จากการที่ได้เคล็ดลับมาแล้วดิฉันก็เริ่มฝึก โดยเริ่มจากการลองอ่านนิยายก่อน ตอนแรกๆเล่มหนึ่งเกือบเดือนจึงจะจบ
ก็อ่านมาเรื่อยๆ ปรากฏว่าเริ่มจะชินแล้วก็เริ่มอ่านหนังสืออื่นๆบ้าง ปรากฎว่าเคล็ดลับนี้ได้ผลนะก็เริ่มรู้สึกได้เลยว่าการอ่านทำให้เราดีขึ้นจริงๆจากเรื่องที่ไม่เคยรู้ก็เริ่มมีความรู้มากขึ้นรู้ในเรื่องที่ไม่รู้เข้าใจในสิ่งที่รู้ดีขึ้น
มีโลกทัศน์ที่กว้างขึ้นถึงแม้จะไม่ได้เป็นนักปราชญ์แต่ก็สามารถพัฒนาให้ตัวเองดีขึ้นมากคะแนนสอบก็เริ่มดีขึ้นมากเป็นที่พอใจอย่างยิ่งถ้าเทียบกับการที่ไม่อ่านหนังสือเมื่อก่อนก็จะเห็นความแตกต่างที่เห็นได้ชัดเจนมากดิฉันคิดว่าหลายคนคงจะเคยประสบปัญหาแบบเดียวกับดิฉัน
ดิฉันอยากให้คนที่ประสบปัญหาอยู่ลองทำเหมือนที่ดิฉันทำแค่เพียงคิดว่าจะเปลี่ยนและเริ่มทำแค่นี้ก็ถือว่าเอาชนะใจตัวเองไปได้มากกว่าครึ่งแล้วและอยากให้ทุกคนอ่านหนังสือกันเยอะๆเพื่อเพิ่มพูนปัญญาให้ดียิ่งขึ้น
ในอนาคตดิฉันหวังว่าดิฉันจะต้องนักอ่านและเป็นนักปราชญ์ให้ได้และจะทำให้ทุกคนเห็นคุณค่าความสำคัญของการอ่านให้ได้ซึ่งถ้าทุกคนเห็นคุณค่าของการอ่านแล้วเป็นผู้ที่สามารถพัฒนาตัวเองได้อย่างดีเยี่ยมแล้วสังคมไทยก็จะกลายเป็นสังคมแห่งอุดมปัญญาเพราะการอ่านจะเป็นประตูของคนในสังคมไทยก้าวไปสู้โลกแห่งความรู้และมีความสามรถในการพัฒนาเพื่อให้เกิดความเจริญก้าวหน้าในทุกๆด้าน
ฉะนั่น
เริ่มอ่านหนังสือตั้งแต่วันนี้เพื่ออนาคตที่ดีของประเทศ
อย่าลืมอ่านหนังสือกันเยอะๆนะค่ะ
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)